เมื่อท่านเล่าปี่เห็นประกาศจากราชสำนัก ใจหนึ่งก็นึกอยากอาสา
แต่ต้องจนใจเนื่องจากไร้ซึ่งกำลังทรัพย์สินเงินทอง
เพราะท่านเป็นเพียงชาวบ้านซึ่งมีอาชีพถักทอเสื่อเพื่อนำไปขายเลี้ยงชีพ
(ในภาพ พระกวนเซ่งเต้กุน พระกวนเป๋งไท้จื้อ และ พระจิวชองเจียงกุน)
เมื่อท่านอ่านจบความแล้วท่านจึงถอนหายใจ
ในขณะเดียวกันมีชายผู้หนึ่งนามว่า เตียวหุย
เห็นอากัปกิริยาของท่านเล่าปี่ถอดถอนหายใจดังกล่าว
ท่านเตียวหุยจึงกล่าวว่าเมื่อเป็นลูกผู้ชายจักต้องช่วยบ้านเมือง
ไม่ควรนิ่งเฉยทอดถอนหายใจเช่นนี้
ท่านเล่าปี่จึงกล่าวว่าแท้จริงท่านอยากช่วยบ้านเมือง แต่ท่านยากจนไร้ซึ่งทรัพย์สิน
ท่านเตียวหุยจึงกล่าวว่า ตัวท่านเองพอมีทรัพย์สินบ้าง เพียงขาดผู้กล้าที่มีฝีมือ
เมื่อทั้งสองต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน จึงชวนกันไปนั่งสนทนาต่อที่ร้านสุรา
เมื่อพูดคุยได้สักพัก ท่านกวนอูซึ่งขับเกวียนมาเทียบหน้าร้าน
เอ่ยปากขอซื้อสุรา ซื้อเสร็จแล้วท่านจะรีบไปอาสาปราบโจร
เมื่อท่านเล่าปี่และเตียวหุยเห็นท่านกวนอู ด้วยท่าทีผึ่งผาย หน้าแดงหนวดยาว
ทั้งสองก็นึกแปลกใจในรูปลักษณ์ของท่านกวนอูว่าไม่เหมือนบุคคลธรรมดา
ทั้งสองเอ่ยปากชวนท่านกวนอูเข้าร่วมวงสนทนา
จึงทราบว่าท่านกวนอูหลบหนีอาญาแผ่นดินมา
เนื่องจากสังหารข้าราชการชั่ว เมื่อเห็นประกาศจึงนึกอาสาปราบโจร
เมื่อเห็นว่าทั้งสามมีความคิดร่วมอุดมการณ์เดียวกัน คือ
ฟื้นฟูอำนาจฮ่องเต้ ผดุงคุณธรรม บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน
ท่านเล่าปี่และท่านเตียวหุยจึงเชิญท่านกวนอูมาร่วมอุดมการณ์ ทั้งหมดเห็นดีด้วย
จากนั้นท่านเตียวหุยจึงเชิญทั้งสองท่านมายังสวนท้อหลังบ้าน
หลังจากดื่มสุราและพูดคุยกันแล้ว
ท่านเล่าปี่จึงกล่าวชักชวนให้อีกสองท่านร่วมพิธีสาบานเป็นพี่น้องกัน
เรียกเหตุการณ์นั้นว่า โถ่ฮึ๋งซามเกียดหงี่
ทั้งสามได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกันในวันที่ 13 เดือน 5
ดังคำสัตย์วาจาความว่า
(ในภาพ พระกวนเซ่งเต้กุน พระกวนเป๋งไท้จื้อ และ พระจิวชองเจียงกุน จากรากไม้)
แม้นท่านทั้งสามจะไม่ได้เกิดวัน เดือน ปี เดียวกัน
แต่จะรักกันยินดีที่จะตายในวัน เดือน ปีเดียวกัน
ปุดกิ๋วต่งหนีต่งโหง่ยต่งหยิดเซง ต่านหง่วนต่งหนีต่งโหง่ยต่งหยิดซี้
ทั้งสามจะร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือผู้เดือดร้อน ปกป้องคุ้มครองแผ่นดิน
ต่อเบื้องบนให้แทนคุณชาติ ต่อเบื้องล่างให้คุ้มครองประชาชน
(ในภาพ พระกวนเซ่งเต้กุน)
หากท่านใดลืมคำสาบานที่ให้ไว้ต่อหน้าเทพยดา
ขอให้ฟ้าลงทัณฑ์ ถูกปวงประชาสาปแช่งและถูกประหาร
ทั้งนี้กำหนดท่านเล่าปี่เป็นพี่ใหญ่ เนื่องจากความอาวุโสและเป็นผู้มีบุญ สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์
ท่านกวนอูเป็นพี่รอง ส่วนท่านเตียวหุยเป็นน้องคนเล็ก เนื่องจากอาวุโสน้อยสุด
เมื่อกล่าวจบคำสาบานแล้ว จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกได้ราว 500 คน
ชาวบ้านได้บริจาคม้า 50 ตัว และเหล็กอีก 100 หาบ
ช่างเหล็กจึงตีเหล็กทำเป็นอาวุธดาบ 2 เล่มให้แก่ท่านเล่าปี่
ทำทวนให้แก่ท่านเตียวหุย และทำง้าวแก่ท่านกวนอู
กล่าวว่าง้าวนี้ยาว 11 เชียะ หรือ ประมาณ 3 เมตร 63 เซนติเมตร
หนักถึง 82 ชั่ง หรือ 65.6 กิโลกรัม บนง้าววาดลายมังกร จึงเรียกนามว่า ง้าวมังกรเขียว
เมื่อได้อาวุธครบมือ ท่านทั้งสามจึงเข้าต่อสู้กับเหล่าโจรโพกผ้าเหลืองซึ่งมีกำลังมากถึง 5000 นาย
ท่านกวนอูใช้ง้าวมังกรเขียวฟาดฟันหัวหน้าโจรจนลำตัวขาดสะบั้น กลุ่มโจรจึงเสียขวัญแตกกระจาย
ชาวบ้านเมื่อทราบความ ต่างแซ่ซ้องร่ำลือในความสามารถ
ทั้งสามเพียรพยายามใช้เวลานานหลายปีกว่าจะปราบปรามเหล่าโจรได้อย่างราบคาบ
ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ทั้งสามรักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งขึ้น ยิ่งกว่าพี่น้องร่วมสายโลหิต
หลังจากนั้นบ้านเมืองเกิดผกผัน พระเจ้าเลนเต้สิ้นพระชนม์
ท่าน ตั๋งโต๊ะ ข้าหลวงแห่งแคว้น เปงจิ๋ว ตั้งตนเป็นใหญ่ยกกำลังทัพเข้าเมืองหลวง