เหล่าผองเพื่อนของท่านต่างตกใจวิ่งหนีแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง
ยกเว้นท่านผู้เดียวนั่งกราบคำนับเทพดังกล่าวอย่างสงบนิ่ง
(ในภาพ พระเทียนห่อเซ่งโบ้)
เทพดังกล่าวกล่าวว่าท่านรอคอยโอกาสนี้มานานแล้ว เพื่อนำใบเบิกทางแห่งเทพเรียก ต่งหู บ้างว่าเป็นยันตร์วิเศษ บ้างว่าเป็นตำราวิเศษ หรือบ้างว่าเป็นคฑาเทพมาให้กับท่าน บอกให้ท่านฝึกฝนวิชาด้วยความขันแข็ง แล้วท่านจะกลายเป็นเทพเซียนต่อไป
เมื่อท่านหลิมเบ็กเหนียงเข้าใจความดังกล่าวแล้ว ท่านจึงเร่งฝึกฝนวิชา จนท่านมีความสามารถเหาะเหิรเดินอากาศ สามารถถอดรูปกายและจิต บันดาลฟ้าฝนให้ถูกต้องตามฤดูกาลได้ ท่านจึงใช้วิชาที่ฝึกฝนดังกล่าวช่วยเหลือชาวบ้าน จนชาวบ้านทราบซึ้งในน้ำใจจึงเรียกท่านว่า สิ่นลื้อ
บางตำนานกล่าวว่าครั้งหนึ่งชาวบ้านล้มป่วยจากการดื่มน้ำในบ่อภายในหมู่บ้าง
ต่างไม่ทราบว่ามีพิษ เมื่อท่านทราบว่าสาเหตุมาจากน้ำในบ่อมีพิษ
ท่านจึงเสี่ยงชีวิตกระโดดลงไปในบ่อน้ำนั้น
เพื่อไปทำควาสะอาด จับหนูตายซึ่งจมอยู่ในบ่อจำนวนมาก
ณ ก้นบ่อท่านพบกระจกวิเศษใบหนึ่ง
จึงนำขึ้นมาพร้อมกับได้อำนาจลึกลับกลับมาด้วย
ครั้งหนึ่งขณะท่านหลิมเบ็กเหนียงนั่งบำเพ็ญภาวนาจิต
เกิดนิมิตเห็นเหตุการณ์เรือสินค้าลำหนึ่งต้องพายุโหมกระหน่ำ
จนเรือไม่สามารถต้านทานได้ ลำเรือเกิดอับปาง
ผู้คนบนเรือต่างค่อยๆจมดิ่งลงกลางทะเลลึก ผู้คนบ้างลอยคอ บ้างก็จมลงไปกลางทะเล เมื่อท่านเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ท่านจึงหยิบฉวยต้นหญ้ามากำหนึ่งเป่าให้ต้นหญ้าเหล่านั้นกลับกลายเป็นขอนไม้และท่อนซุงจำนวนมากมาย เพื่อให้ชาวเรือและพ่อค้าวานิชยึดเกาะไว้ไม่ให้จมดิ่งหายลงไปในกลางทะเล
ต่อมาภายหลังเมื่อมีผู้เห็นเหตุการณ์เรืออับปาง
และช่วยเหลือผู้โชคร้ายซึ่งเกาะขอนไม้ลอยทะเลอยู่นั้น
ทุกคนจึงรอดพ้นจากความตาย ต่างตื้นตันยินดีปรีดายิ่ง
วันหนึ่งช่วงบ่าย ขณะท่านหลิมเบ็กเหนียงและมารดา บ้างก็ว่าเป็นพี่สะใภ้
กำลังนั่งทอผ้าผืนอยู่ภายในบ้าน ท่านพลันหลับตา
เผลอหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า กึ่งหลับกึ่งตื่น
กล่าวว่าท่านกำลังถอดจิตนิมิตเห็นบิดาและพี่ชายของท่านกำลังออกทะเลหาปลาอยู่
ต่อมาประสบเหตุพายุโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงอยู่กลางทะเลลึก เรือลำนั้นกำลังอับปาง
ท่านจึงกระโดดลงไปช่วยเหลือ โดยใช้ปากคาบสาบเสื้อของพี่ชาย
มือหนึ่งลากจูงบิดาต่อสู้กับคลื่นยักษ์กลางทะเลอย่างสุดกำลัง
ฉับพลันทันใดก็มีเสียงเรียกให้ท่านตื่นจากภวังค์
เสียงดังกล่าวเป็นเสียงปลุกเรียกจากมารดาให้ท่านทอผ้าต่อไป
บ้างว่าเป็นเสียงจากพี่สะใภ้ให้ช่วยเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้หนีฝน
ซึ่งกำลังเห็นว่าท่านมีอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น
ท่านเองก็ตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงปลุกเรียกนั้น
เมื่อท่านหลิมเบ็กเหนียงอ้าปากขานรับคำเรียก
ปากของท่านที่คาบพี่ชายไว้จึงคายอ้า
พี่ชายของท่านจึงหลุดลอยหายไปตามกระแสคลื่นยักษ์ในทะเล
ท่านจึงรำพึงรำพันว่าท่านเสียใจที่ช่วยได้แต่เพียงบิดา
ไม่สามารถยื้อยุดฉุดบุญกรรมของพี่ชาย
ท่านจึงไม่สามารถช่วยเหลือรักษาชีวิตรอดของพี่ชายของท่านได้
ในวันถัดมาชาวเรือลำดังกล่าวและบิดาของท่านจึงเข้าฝั่งได้อย่างปลอดภัย ต่างเล่าถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบ กล่าวว่าเป็นเหมือนปาฏิหาริย์ดั่งมีผู้ยื่นมือมาจับเรือให้มั่นไว้ มิให้โยกโคลงขณะประสบเหตุการณ์ดังกล่าวจนทุกคนปลอดภัยดี
เว้นแต่บุตรชายหรือพี่ชายของท่านหลิมเบ็กเหนียง
เกิดพลัดตกหลุดจากลำเรือล่องลอยหายไปต่อหน้าต่อตา
ต่างก็ไม่สามารถช่วยเหลือใดๆได้
บางตำนานกล่าวสลับกันระหว่างบิดาและพี่ชายของท่าน
บ้างก็กล่าวว่าทั้งคู่จมหายไปในทะเลพร้อมกัน
ซึ่งท่านหลิมเบ็กเหนียงไม่สามารถช่วยเหลือใดๆได้เลย
จึงนำความเศร้าโศกเสียใจมายังท่านเป็นอันมาก
หลายครั้งที่มีข่าวร่ำลือว่าท่านสามารถช่วยเหลือชาวบ้านเรืออับปาง
หรือคนตกน้ำให้รอดตายได้ ข่าวเหล่านี้ต่างแพร่กระจายออกไปกว้างไกลขึ้นทุกที
เมื่อสืบแล้วผู้ที่รอดชีวิตกลับมาต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เห็นสตรีชุดแดงยืนบนผืนเสื่อ บ้างว่ายืนบนเมฆเหาะเหิรเดินอากาศในท้องฟ้ายามวิกาล ครั้นสอบถามจากญาติพี่น้องต่างเคยอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากท่านหลิมเบ็กเหนียงด้วยกันทั้งสิ้น
เมื่อท่านหลิมเบ็กเหนียงอายุ 21 ปี บ้านเมืองประสบทุกข์ภัยข้าวยากหมากแพง
ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล รวงข้าวแห้งเฉาตาย ภาครัฐหมดปัญญาช่วยเหลือราษฎร