หลังจากที่พยายามส่งข้อความความคิดเห็นต่อประเพณีถือศีลกินผักมานานกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งคิดว่าอาจมีประโยชน์ต่อการจัดงานไม่มากก็น้อย แต่ไม่สามารถโพสต์ได้เพราะขึ้น You have an error in your SQL syntax near '' at line ตลอด จึงต้องขอออกจากกะทู้และลองส่งข้อความไปยังที่อื่น ซึ่งสามารถอ่านได้ที่ http://trangvegetarian.trangcity.go.th/
ยังไงก็ขอแถมตำนานกำเนิดประเพณีถือศีลกินผักให้เพิ่มเติมให้ครบ ลองอ่านดูนะครับ
ตำนานประเพณีถือศีลกินผัก
ตำนานที่หนึ่ง
ประเพณีถือศีลกินผักเกิดขึ้นมาประมาณ 1500 ปีล่วงมาแล้ว กษัตริย์ของมณฑลกังไซ้ (เจียงซี ปัจจุบัน)มีพระราชโอรส 9 พระองค์ ราชโอรสทั้ง 9 พระองค์ ได้รับการฝึกวิทยายุทธในการต่อสู้คนละอย่าง องค์แรกเก่งในทางหอกและดาบ ส่วนองค์สุดท้ายเก่งทางธนู
ในสมัยนั้นพวกก่งเลี้ยดหรือไต่เลี้ยดยกทัพมาประชิดชายฝั่งทะเลมณฑลกังไซ้ ราชโอรสทั้ง 9 จึงได้ยกทัพไปทำศึกสงครามด้วย สงครามยืดเยื้อ อยู่ 3 ปี โดยฝ่ายราชโอรสทั้ง 9 พ่ายแพ้ทุกครั้ง พอถึงฤดูมรสุมพวกก่งเลี้ยดหรือไต่เลี้ยดต้องยกทัพกลับไปหาเสบียงใหม่ พอพ้นฤดูมรสุมจึงยกทัพกลับมาใหม่อีก และกองทัพของราชโอรสทั้ง 9 ก็ต้องยกทัพออกไปรับศึกอีก เป็นเช่นนี้อยู่ 3 ครั้ง จนถึงครั้งที่ 4 จึงได้วางแผนโจมตี โดยล่อข้าศึกให้หลงกลแล้วโอบโจมตี แต่ข้าศึกรู้แผนการ จึงวางแผนซ้อนแผน โดยข้าศึกทำทีรุกเข้าไป แต่ได้จัดกองทัพหนุน ราชโอรสทั้ง 9 นึกว่าข้าศึกหลงกลแล้ว จึงยกทัพทำทีถอยหนี เมื่อถอยได้ 15 ลี้ จึงได้ปะทะกับกองกำลังข้าศึกและถูกยิงด้วยธนูเพลิง ราชโอรสทั้ง 9 จึงสวรรคตด้วยทะเลพร้อมทหารหมื่นคนเศษ แต่ทว่าข้าศึกยังไม่สามารถยึดกังไซ้ได้เพราะยังมีกองทัพของพระราชบิดา
ราชโอรสทั้ง 9 เมื่อสวรรคตแล้วเสด็จไปประสูติเป็นอมตะวิญญาณ ดูแลรักษามณฑลกังไซ้ให้อยู่เย็นเป็นสุข
50ปี ต่อมาดวงวิญญาณของราชโอรสทั้ง 9 เห็นว่าราษฎรในมณฑลกังไซ้มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ปล้นสะดม ลักขโมยและเบียดเบียนกันมากจนเป็นกลียุค ราชโอรสองค์ที่ 1 จึงทรงแปลงกายเป็นขอทานเพื่อทดสอบจิตใจชองคนในมณฑลกังไซ้ว่ายังมีคนใจบุญอยู่บ้างหรือไม่ จึงเดินทางมาบ้านเศรษฐี ลี้ฮั่วก่าย ซึ่งปลูกบ้านให้ตนเดินทางไกลได้พักอาศัยชั่วคราวก่อนออกเดินทางต่อไป ขอทานจึงขอพักอาศัย 1 คืน บริวารเศรษฐีไม่ยอมให้เข้าพักเพราะเห็นว่าเป็นโรคเรื้อนทั่วร่างกาย มีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม เนื่องจากเศรษฐีได้ตั้งปณิธานแล้วจึงยินยอมให้พักได้ เมื่อขอทานได้พักแล้วจึงขออาหารจากเศรษฐี 9 ชุด และขอตะเกียง 9 ดวง เศรษฐีประหลาดใจจึงสอบถาม ได้รับคำตอบว่าตนเองไม่ได้มาคนเดียวแต่มากับน้องอีก 8 คน เศรษฐีจึงเข้าใจว่าขอทานคนนี้วิกลจริต จึงให้ดั่งคำประสงค์
วันรุ่งขึ้นเศรษฐีได้มาดูขอทานยามเช้า ปรากฏว่าไม่เจอขอทาน แต่กลับเจอชายผู้มีบุญ เศรษฐีจึงสอบถาม จึงทราบว่าชายผู้นั้นเป็นเทพลงมาเพื่อดูแลความทุกข์สุขและช่วยเหลือชาวมณฑลกังไซ้ และแนะนำเศรษฐีผู้นั้นให้ถือศีลกินผักเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น จึงสามารถช่วยให้ชาวกังไซ้รอดพ้นจากภัยพิบัติได้
ท่านผู้มีบุญได้แนะนำว่าการกินผักต้องไหว้ผลไม้ 5 อย่าง(หงอโก้) ผัก 6 อย่าง(ลักฉ่าย) พร้อมจุดตะเกียง 9 ดวง หมายถึงกษัตริย์ 9 พระองค์ โดยในระหว่างกินผักให้ถือศีล ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ห้ามกินของคาวทุกชนิด และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เศรษฐีน้อมรับคำแนะนำด้วยความเต็มใจ แล้วร่างของผู้มีบุญก็หายไปทันที เศรษฐีจำได้ว่าวันที่ท่านจากไปตรงกับ เก้าโง้ยโชยอิ้ด (1 ค่ำ เดือน 9) จึงได้เริ่มกินผักดังคำกล่าวนั้น โดยถือหลักกินผัก 9 วันตามจำนวนตะเกียง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระราชโอรสทั้ง 9 พระองค์ หลังจากกินผักครบ 9 วันแล้ว ต่อมาไม่นานเศรษฐีประสบความสำเร็จร่ำรวยขึ้นผิดปกติ และราษฎรมณฑลกังไซ้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ภัยพิบัติต่างๆน้อยลง ซึ่งทำความความประหลาดใจให้กับราษฎรทั่วไปอย่างมากจึงพากันสอบถามเศรษฐี ก็ได้ตอบความจริง
ข่าวจึงแพร่กระจายภายใน 10 ปีจนทั่วทั้งมณฑล เมื่อเศรษฐีแก่ชรา ได้จดบันทึกพิธีการกินผักไว้ และได้จ้างงิ้ว(ปั่วอี่) เป็นมหรสพในพิธีกินผัก ครั้งนั้นคณะงิ้วจากมณฑลลกเอี๋ยง(ลั่วหยาง) หัวหน้าคณะชื่อเล่าเอี๋ยได้เดินทางมาแสดง เล่าเอี๋ยเป็นมีความรู้ดีมาก และเป็นผู้เดียวที่อ่านตำราพิธีการกินผักของเศรษฐีอย่างถูกต้อง เล่าเอี๋ยชอบวาดรูปปูไว้ที่ศีรษะและวาดรูปนกไว้ที่เท้าซ้าย
เมื่อเศรษฐีถึงแก่กรรมลง เล่าเอี๋ยได้เห็นประเพณีกินผักของชาวมณฑลกังไซ้ ก็เกิดความศรัทธาอยากนำไปเผยแพร่ที่มณฑลลกเอี๋ยงบ้าง จึงได้ศึกษาตำราพิธีการกินผักของเศรษฐี เมื่อเล่าเอี๋ยได้นำไปปฏิบัติก็ได้ดัดแปลงพิธีการบางอย่างในการกินผักให้รัดกุมยิ่งขึ้น เช่น เริ่มกินผักตั้งแต่เลยเที่ยงคืนของวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 จัดให้มีพิธีอัญเชิญพระส่องเต่และพระกิวอ๋องไต่เต่ พิธีป้างกุ้น(ปล่อยทหารรักษาการในบริเวณพิธี) พิธีโก้ขุ้น(เลี้ยงทหารรักษาการ) พิธีซิวกุ้น(เรียกทหารกลับที่เดิม) พิธีโก้ยโห้ย(ลุยไฟสะเดาะเคราะห์) พิธีโก้ยห่าน(สะเดาะเคราะห์สำหรับผู้ที่ไม่กล้าเข้าร่วมพิธีโก้ยโห้ย) เป็นต้น และพิธีการเหล่านี้จึงได้ถือปฏิบัติต่อๆกันมาจวบจนปัจจุบัน
ตำนานที่ 2
เชื่อว่าประเพณีถือกินผักเริ่มขึ้นที่เมืองเอ้ห*** มณฑลฮกเกี้ยน โดยกำเนิดขึ้นในช่วงกษัตริย์ราชวงศ์ซ้ององค์สุดท้าย (ราชวงศ์ซ้องอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 1503 - 1819) เล่ากันว่ากองทัพมองโกลโดยกุบไลข่านยกทัพตีเข้าเมืองซ้องภาคใต้ของมณฑลเสฉวน ฮูเป เมื่อพ.ศ. 1800 และสถาปนาราชวงศ์หงวนขึ้นในปี พ.ศ.1808 ส่วนกษัตริย์ราชวงศ์ซ้องล่างถอยลงมายังมณฑลฮกเกี้ยน กษัตริย์เป๊งของราชวงศ์ซ้ององค์สุดท้ายพร้อมอำมาตย์เลกสิ่งฮูดำริจะอพยพไปยังเกาะไต้หวัน แต่เนื่องจากเกิดพายุแรงจัด ด้วยความรู้สึกว่าไม่สามารถถึงที่หมาย คือเกาะไต้หวันได้ อำมาตย์เลกสิ่งฮูจึงอุ้มกษัตริย์เป๊งทำอัตวินิบาตกรรมโดยกระโดดลงทะเลลึก ขณะนั้นกษัตริย์เป๊งมีพระชนมายุเพียง 9 พระชันษา (พ.ศ. 1822)
พิธีกรรมถือศีลกินผัก แห่พระจึงสันนิษฐานว่าเป็นการบูชากษัตริย์เป๊งซึ่งสิ้นพระชนม์ขณะเสด็จไต้หวันโดยทางเรือ และเป็นการรำลึกถึงการสิ้นสุดของราชวงศ์ซ้อง โดยเอาพิธีกรรมทางพุทธศาสนามาอำพรางทางการปกครอง ที่สันนิษฐานเช่นนี้เพราะ พิธีนี้มีเฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่งเป็นที่กษัตริย์เป๊งเสด็จประทับเรือและเป็นดินแดนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้อง ชาวแต้จิ๋วอพยพที่มาจากมณฑลฮกเกี้ยนจึงนำประเพณีนี้ติดมาด้วย
มีผู้อธิบายมีเหตุผลในการสนับสนุนว่า พิธีนี้ไม่ปรากฏในพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าที่นับถือก็ไม่มีในพระสูตรใดๆ กิวอ๋องฮุดโจ้ว แปลว่าจักรพรรดิพระพุทธเจ้า ซึ่งคำว่ากิวหรือเก้า ไม่ได้หมายความถึงลำดับ แต่เป็นคำยกย่องสูงสุด กษัตริย์เป๊งสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุ 9 พระชันษา พิธีนี้ใช้สีเหลืองทุกสิ่ง ซึ่งเป็นสีของกษัตริย์ ศัพท์ที่ใช้ล้วนเป็นราชาศัพท์ เช่นรับเสด็จ ส่งรับเสด็จ เป็นต้น ในการสักการบูชาผู้หญิงต้องห่มชุดขาว สยายผมซึ่งเป็นลักษณะการไว้ทุกข์ให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองจีน
ตำนานที่ 3
กล่าวว่าสมัยราชวงศ์ยิ่นฮ่วงสี (แปลว่าผู้เป็นจ้าวแห่งมนุษย์) ชาวจีนที่ถือเป็นผู้วิเศษและนับถือมากมีอยู่ด้วยกันพี่น้อง 9 พระองค์ได้สวรรคตและจุติเป็นดาวจระเข้รวมกัน 9 ดวง ผู้คนเรียกว่าพระกิวอ๋องไต่เต่ แปลว่าพระเจ้า 9 พระองค์ พระกิวอ๋องไต่เต่ เป็นผู้ถือบัญชีมนุษย์โลก สามารถต่ออายุสำหรับผู้สิ้นอายุขัยได้ตามต้องการ ชาวจีนถือว่าระหว่างวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 เป็นวันที่พระกิวอ๋องไต่เต่ลงมาตรวจสอบผู้คนในโลกมนุษย์ เพื่อจดบันทึกและให้เป็นไปตามกรรมดี กรรมชั่วของแต่ละบุคคล เมื่อรู้ดังนั้น พวกเขาจึงพากันยกเว้นอาหารคาวชั่วคราวเพื่อแสดงความดีให้เจ้าเห็น การถือศีลกินผักของชาวจีนจึงเป็นความเชื่อว่าการบำเพ็ญบุญในช่วงเวลาดังกล่าว กุศลบุญจะส่งผลให้ตนเองและครอบครัวประสบแด่ความสุขความเจริญ ทั้งเป็นการต่ออายุให้ยืนยาวด้วย
ตำนานที่ 4
ในประเทศจีนสมัยโบราณแบ่งออกเป็น 9 มณฑล แต่ละมณฑลมีกษัตริย์ปกครองเป็นอิสระ แต่ละพระองค์ไม่ยอมให้ใครใหญ่กว่าตน จึงมีการรบพุ่งแย่งชิงความเป็นใหญ่ในหมู่กษัตริย์ทั้ง 9 พระองค์นั้นตลอดเวลา และกลายเป็นสงครามใหญ่ในที่สุด เรียกว่าสงคราม 9 กษัตริย์ ผู้คนล้มตายจากศึกสงครามนี้เป็นอันมาก เดชะบุญที่มีนักปราชญ์คนหนึ่ง คิดหาทางออกให้กษัตริย์ทั้ง 9 พระองค์มาพบปะเจรจาหาทางยุติสงคราม ในระหว่างเวลา 9 วัน 9 คืนที่กษัตริย์ทั้ง 9 พระองค์มาพบปะกัน โดยมีข้อตกลงว่าจะไม่มีการรบราฆ่าฟันสิ่งมีชีวิตใดๆกันอีก ประชาชนของอาณาจักรทั้ง 9 จึงงดเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจึงเกิดเป็นประเพณีกินผัก 9 วันในกาลต่อมา